หลายคนที่ได้ยินคงนึกสงสัยว่า SEO และ SEM นั้นคืออะไร ต่างกันยังไง?
แล้วเราควรเลือกกลยุทธ์แบบไหนเพื่อที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับแรกๆ ในหน้าการค้นหา
วันนี้เราขอพามาแนะนำให้รู้จัก และเข้าใจระบบการทำงานของทั้ง 2 สิ่งนี้กัน
แต่ก่อนอื่น ขอบอกก่อนว่าการที่เราจะทำให้ติดหน้า Google จะมีอยู่ประมาณ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ
1.การลงโฆษณาโดยตรงกับ Google ซึ่งเรียกว่าการทำ Adwords นั่นเอง
(ข้อดี)
- มีเงิน มีเว็บ ลงได้ทันทีไม่ต้องรอ setup campaign ก็ขึ้นได้เลย
- สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับตลาดของคุณได้
- เงินลงทุนเริ่มต้นสามารถกำหนดได้เอง จะจ่ายเท่าไรก็ได้
- มีความยืดหยุ่นสูง เปลี่ยนข้อความโฆษณา ได้ตลอดเวลา
(ข้อเสีย)
- ถ้าเว็บ หรือ เพจ ไม่มีดี โฆษณาอาจจะออกมาไม่มีคุณภาพ
- การคอนโทรลคีย์เวิร์ดรักษาอันดับไม่ได้ เปลี่ยนตลอดเวลา
- โฆษณาของคุณพร้อมหายได้ทุกวินาที ถ้างบหมด ก็ ปริวหายไปกับตา !
- ในกรณี set มั่ว set ไม่ดี งบอาจจะบานปลาย และเสียค่าคลิกแพงกว่าที่ควรจะเป็น 3-10 เท่า
2.การทำ SEO < ติดแบบธรรมชาติ ไม่ได้เสียเงินโฆษณาแต่อย่างใด
(ข้อดี)
- การทำ SEO ถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่นมาก
- การทำ SEO ช่วยให้ได้ลูกค้าตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
- การทำ SEO ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเรา
- ช่วยให้เว็บไซต์ของเรา เหนือกว่าคู่แข่งในประเภทธุรกิจเดียวกัน
- ช่วยเพิ่มช่องทางการตลาด แบบไม่จำกัด จะทำกี่เว็บ ก็ได้ “เหมือนเปิดหลาย ๆ สาขา ”
(ข้อเสีย)
- เวลาแก้ไขข้อความโฆษณา นาน ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาเก็บข้อมูลอีกทีวันไหน
- ความไม่แน่นอนของอันดับ ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ซึ่งขนาดนี้ 2017 น่าจะปรับเป็นแบบ real time
- Google มีการปรับ Algorithm อยู่เสมอ ดังนั้นจะทำให้เว็บไซต์ สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกับเว็บอื่นๆได้ทุกเมื่อ
SEO Vs SEM คืออะไร และควรเลือกอะไรในการทำการตลาด
SEO (Search Engine Optimization) เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) ที่เกี่ยวข้องกับการดันอันดับเว็บไซต์บนเสริชเอนจิ้น (แต่ไม่ใช่การซื้อโฆษณา)
การทำ SEO จะมีการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้คีย์เวิร์ด การปรับแต่งรูปแบบและเนื้อหาของเว็บไซต์ให้ถูกใจกูเกิล และสามารถตอบสนองตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา (Search Intent) ได้
การทำ SEO สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
On-page SEO
คือการปรับปรุงเนื้อหาและการปรับเปลี่ยนในรูปแบบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจำกัดภายในตัวเว็บไซต์ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายคือให้ Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้น
Off-page SEO
คือการทำให้เว็บไซต์ของเราถูกอ้างอิงถึง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกออนไลน์ โดยมากอาจเน้นการสร้างลิงก์ (Link Building) ที่มีคุณภาพกลับมาเว็บไซต์ของเรา โดยเว็บไซต์ต้นทางที่เราไปสร้างลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของเราควรเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเช่นกัน การสร้างลิงก์จึงจะได้ผลที่ดี
Technical SEO
คือการปรับแต่งที่จะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือนอกเว็บไซต์ใดๆ โดยจะมุ่งเน้นที่โครงสร้างของเว็บไซต์ ความเร็วของเว็บไซต์ และพวกโค้ดต่างๆ
การทำ SEO ที่ดีไม่ใช่การมุ่งเน้นทำ SEO ประเภทใดประเภทหนึ่งใน 3 ประเภทข้างต้นนี้ เอเจนซี่ที่ดีจะรู้ว่าควรผสมผสานเทคนิคต่างๆ ยังไงจากการทำ SEO ทั้ง 3 ประเภท ให้เกิดเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ
ปัจจัยในการทำ SEO มีอะไรบ้าง ปัจจัยในการทำ SEO นั้นมี 7 ข้อหลักดังต่อไปนี้
- โฮสติ้งหรือที่ๆ เราใช้ฝากเว็บไซต์ของเรา
- ชื่อเว็บไซต์หรือโดเมนเนม
- Title หรือชื่อจำกัดความของหน้าเว็บไซต์
- Description หรือคำอธิบายของหน้าเว็บไซต์
- Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
- Content หรือเนื้อหาของเว็บไซต์
- ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ SEO มีอะไรบ้าง
- สามารถทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่วางไว้
- สามารถโปรโมทเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของท่าน
- ทำให้เว็บไซต์ของท่านติดอันดับบนเว็บเสิร์ชเอ็นจินได้
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเมื่อเทียบกับการโฆษณาประเภทอื่นๆ
- ทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการค้นหาบนเว็บเสิร์ชเอ็นจิน
SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หมายถึง การทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเตอร์เน็ต โดยการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกบนหน้าการค้นหาเมื่อมีการค้นหา Keyword ตามที่ได้กำหนดไว้ สามารถสังเกตได้จากคำว่า AD ที่ปรากฏอยู่หน้าชื่อเว็บไซต์ของเรา โดยเราจะเสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิกเข้ามาที่โฆษณาของเรา
ซึ่งขั้นตอนการทำ SEM ถือเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถวัดผลได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ทำ รวมถึงสามารถนำไปวิเคราะห์การทำการตลาดต่อได้
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ SEM มีอะไรบ้าง
- สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมการที่ยาวนาน
- การปรับเพิ่ม Keyword สามารถทำได้ตลอดเวลาตามที่เราต้องการ
- แม้มีเว็บเพจเพียงหน้าเดียวก็สามารถทำได้
- เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
- สามารถวัดผลออกมาเป็นข้อมูล เพื่อนำไปวิเคราะห์ยอดต่อได้
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว
ปัจจัยในการทำ SEM มีอะไรบ้าง
- ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประมูล เว็บไซต์จึงจะติดอันดับ
- เสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิกเข้ามาดูในเว็บไซต์
- ราคาของการโฆษณาไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกระแสการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม แม้ SEO และ SEM จะมีความแตกต่างในเรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการสร้างแคมเปญ
แต่เป้าหมายที่เหมือนกันของทั้งสองสิ่งก็คือ การพยายามทำให้เว็บไซต์ของเรามาปรากฏในหน้าแรกของ
ผลลัพธ์การค้นหา โดยต้องอาศัยการวางแผนการทำคอนเทนต์ที่มี Keyword ที่เรากำหนดไว้
ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกทำ SEO หรือ SEM จึงไม่ควรมองข้ามเรื่องของเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ต้องสอดคล้องกับหัวข้อและ Keyword ที่กำหนดไว้ เพราะหากเนื้อหาด้านในไม่เกี่ยวข้องเลยและไม่ตรงกับความต้องการของผู้คลิกเข้ามาชมเว็บไซต์ ก็จะส่งผลให้คุณภาพของเว็บไซต์แย่ลง และการแสดงอันดับก็อาจอยู่ต่ำลงด้วย รวมถึงปริมาณของ Keyword ที่เหมาะสม โดยควรใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปหรือน้อยจนเกินไป เพราะการใส่ Keyword มากเกินไป อาจทำให้อัลกอริทึมของ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราเป็นสแปม และการใส่ Keyword น้อยจนเกินไประบบอัลกอริทึมของ Google ก็ไม่สามารถหาเจอหน้าเว็บไซต์ของเราได้
เปรียบเทียบจุดเด่นของ SEO และ SEM
- SEO ประหยัดเงินกว่า SEM
หากคุณทำ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ธุรกิจคุณ Google จะจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณในตำแหน่งที่ดี ผู้ใช้เห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ต่างจากการทำ SEM ที่คุณต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google ตามจำนวนที่ผู้ใช้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อาจมากถึงหลักร้อยหรือหลักพันต่อเดือน
- SEM ทำยอดขายได้ไวกว่า SEO
เนื่องจากกลยุทธ์ SEM ทางเจ้าของธุรกิจสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่สนใจในตัวสินค้าหรือบริการของธุรกิจ ซึ่งการกำหนดกลุ่มเป้าหมายนี้จะมีโอกาสเกิดการซื้อขายมากกว่า โดยกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้อาจสนใจสินค้าหรือบริการจากธุรกิจของคุณก็เป็นได้
ส่วน SEO จะไม่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเหมือน SEM ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แค่ Search คำที่ต้องการ ก็จะเจอสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับคำที่คุณค้นหา ด้วยความที่ไม่ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน กลุ่มเป้าหมายอาจไม่ได้สนใจในตัวสินค้าหรือบริการเหล่านี้ และมองข้ามธุรกิจของคุณไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำยอดขายได้แค่จะทำยอดขายได้ช้ากว่า SEM นั่นเอง
- SEO ทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพยั่งยืนกว่า SEM
เพราะการทำ SEM คุณต้องเสียเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบน Google เมื่อไหร่ที่คุณหยุดจ่ายเงิน อันดับของเว็บไซต์คุณก็จะตกไป
เมื่อเทียบกับการทำ SEO แล้ว หากคุณเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ถูกต้องตามหลัก SEO เว็บไซต์ของคุณจะอยู่ในอันดับที่ดี ซึ่งผลลัพธ์เรื่องอันดับจะมีความยั่งยืนกว่า หรือหากอันดับเว็บไซต์อันดับตกไปบ้าง แต่อย่างน้อยถ้าคุณทำถูกหลัก SEO มีการอัพเดตเนื้อหาในเว็บไซต์อยู่เป็นประจำ มีเว็บไซต์อื่นพูดถึงคุณ อันดับหน้าแรกบน Google คงหนีไม่พ้นคุณแน่นอน
- SEM เห็นผลลัพธ์อันดับบน Google ไวกว่า SEO
การทำ SEO หากคุณหวังผลลัพธ์ภายใน 1 เดือน คงเป็นไปได้ยาก เพราะการทำ SEO จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ถึงจะเห็นผล ดังนั้นหากคุณต้องการเห็นผลที่เร็ว ใช้ระยะเวลาที่สั้นในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกในหน้า Google แนะนำให้เลือกกลยุทธ์ SEM กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ เพียงเท่านี้กลุ่มเป้าหมายก็จะเห็นเว็บไซต์ของคุณตั้งแต่หน้าแรกของการค้นหา
.
SEO vs SEM คล้ายกันยังไง
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจ SEO กับ SEM ไปคร่าวๆ ข้างต้น อาจจะพบว่ามันต่างกันมากกว่าเหมือนกัน แต่ทั้งสองอย่างก็มีจุดร่วมสำคัญหลายข้อที่คลายคลึงกัน จะมีอะไรบ้างมาดูกัน
ทั้ง SEO และ SEM ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์
ไม่ว่าจะทำทั้งสองอย่าง หรือเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่ต้องร่วมกันแน่ๆ ก็คือทั้งสองอย่างต้องช่วยทำให้ Traffic เข้าเว็บไซต์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แน่นอนว่า Traffic อาจจะเด้งไปเด้งมาไม่แน่นอนในแต่ละเดือน อาจจะมีขึ้นมีลง แล้วแต่ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ด้วย แต่ภาพรวมเมื่อเปรียบเทียบกว้างๆ ก็ควรจะเห็นว่ามีทิศทางไปในทางที่ดีขึ้น
ทั้ง SEO และ SEM มีการใช้เรื่องของคีย์เวิร์ดเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในกระบวนการทำงานในขณะที่ทำทั้ง SEO และ SEM จะมีต้องมีเรื่องของคีย์เวิร์ดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะเสริชเอนจิ้นเชื่อมโยงเข้ากับผู้ใช้งานด้วยคีย์เวิร์ด แต่แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดบนโลกออนไลน์มีเป็นหลายร้อยล้าน เอเจนซี่จะต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการทำรีเสริชเพื่อช่วยธุรกิจของคุณหาโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะติดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ
ทั้ง SEO และ SEM ต้องใช้เวลาในการทดลองและเก็บข้อมูลเพื่อหากลยุทธ์ที่เหมาะสม
ในการทำ SEO และ SEM นั้นจะต้องใช้ทั้งเวลาและการลองผิดลองถูกเพื่อปรับหากลยุทธ์ที่เหมาะสม บนโลกนี้ไม่มีอะไรตายตัว โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ เอเจนซี่ที่มีประสบการณ์และความรู้อย่างลึกซึ้งล้วนเข้าใจถึงข้อนี้ดี และต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่า SEO หรือ SEM ไม่ใช่เวทมนตร์มหัศจรรย์ที่จะทำให้คุณมียอดขายพุ่งทันที ภายในเวลากี่เดือน แต่คือการหาข้อมูล ลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณที่สุดในขณะนั้น
.
SEO vs SEM ต่างกันยังไง
ได้เห็นจุดร่วมของ SEO กับ SEM แบบคร่าวๆ ไปแล้วข้างต้น ต่อมาลองมาดูว่าแล้วทั้งสองอย่างแตกต่างกันในเรื่องอะไรบ้าง
เพราะก็ตรงความแตกต่างนี่แหละอาจจะเป็นตัวตัดสินในการพิจารณาจริงไหม
SEM ได้ผลที่จะถูกมองเป็น Ads แต่ SEO ได้ผลที่จะถูกมองเป็นอันดับ Organic
เมื่อ SEM เกี่ยวข้องกับการทำ Ads ผลที่ได้ในการค้นหานั้นเมื่อผู้ค้นหาเจอเว็บไซต์เราก็จะเห็น Label ที่บอกว่า Ads ที่เป็นการบอกให้รู้ว่าผลการค้นหานี้มีที่มาจากการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา ในขณะที่การทำ SEO เมื่อผลของเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรกจะไม่มี Label กำกับว่าเป็น Ads และผู้ค้นหาจะคิดว่าผลที่ Google เลือกสรรมาแบบธรรมชาติ (Organic) นั่นเอง ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเบื้องหลังเว็บไซต์เหล่านั้นจะมีการจ่ายเงินทำ SEO คอยช่วยอยู่ก็ตาม
SEM เลือกได้ว่าจะเจาะจงกลุ่มเป้าหมายใดๆ โดยตรง SEO ไม่สามารถเลือกได้โดยตรง
เมื่อทำ SEM นั้น ตอนสร้างแคมเปญโฆษณา เราจะสามารถกำหนดได้ว่าอยากให้ผู้ที่เห็นโฆษณาเหล่านี้เป็นใคร เพศไหน รายได้เท่าไหร่ อยู่จังหวัดไหน ช่วงอายุเท่าไหร่ เช่นนี้เป็นต้น ในขณะที่การทำ SEO นั้นจะไม่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้จำเพาะเจาะจงขนาดนั้น แต่จะเป็นการพยายามดันผลผ่านคีย์เวิร์ดที่ประเมินแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คุณจะใช้ค้นหา
SEM จะเห็นผลได้เร็วกว่า SEO
เพราะ SEM เป็นการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณา ดังนั้น Google สามารถที่จะทำให้โฆษณาของเว็บไซต์เราปรากฏขึ้นในการค้นหาได้ทันที ในขณะที่การทำ SEO จะต้องใช้เวลาค่อยๆ ดันเว็บไซต์ให้มีการเลื่อนอันดับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกลไกของอัลกอริทึ่มของกูเกิล
SEO คือการลงทุนที่เก็บเกี่ยวผลได้ในระยะยาว SEM ไม่สามารถหวังผลระยะยาวได้
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อข้างบนว่า SEM เป็นจ่ายเงินซื้อโฆษณาทำให้เราปรากฏอยู่ในการค้นหาของลูกค้าได้ทันที แต่เมื่อไหร่ที่เราเลิกจ่ายเงิน เว็บไซต์เราก็จะหายไปทันที จึงไม่ใช่การลงทุนที่สามารถเก็บเกี่ยวผลได้ในระยะยาว
ในขณะที่ SEO นั้น แม้จะได้ผลช้า และมีกระบวนที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ปรากฏขึ้นอย่างทันท่วงที แต่เมื่อเราสามารถติดอันดับสูงได้แล้วอย่างมั่นคง แล้วเราต้องการลดทุนในการทำ SEO ให้น้อยลงหรือหยุดทำ ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง อันดับก็จะไม่หายไปทันที จะยังสามารถคงอยู่ได้จนกว่าจะมีคู่แข่งมาเบียดเราลงนั้นเอง
SEO สามารถกระตุ้นให้เกิดการคลิกมากกว่า SEM
ข้อนี้ง่ายมาก ลองนึกภาพกันดูว่าถ้าเป็นคุณที่ใช้กูเกิลกำลังหาอะไรสักอย่าง คุณจะอยากคลิกเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่อยู่ในส่วนของ Ads หรือในส่วนของ Organic มากกว่า จากบทความนี้ของ SparkTaro เราจะสามารถเห็นข้อมูลกราฟได้ชัดเจนเลยว่า ผลการค้นหาในส่วนของ Organic จะมีส่วนแบ่งของจำนวนคลิกมากกว่าในส่วนของ Ads เยอะมาก
โดยธรรมชาติแล้วเราจะมีความรู้สึกต่อต้านเล็กๆ กับการคลิกที่ Ads ทำให้หากเป็นไปได้ก็อยากคลิกเข้าชมเว็บที่อยู่ตรง Organic มากกว่า ซึ่งแน่นอนกว่าข้อนี้เป็นพฤติกรรมที่อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคีย์เวิร์ด เพราะบางครั้งผู้ค้นหาก็อาจจะอยากคลิกที่ Ads มากกว่าก็เป็นไปได้เช่นกัน
SEO vs SEM แบบไหนเหมาะกับแบรนด์คุณมากกว่ากัน
เมื่อได้เข้าใจถึงความเหมือนและความต่างของ SEM กับ SEO กันไปแล้ว
ลองมาดูกันว่าควรจะเลือกลงทุนกับ SEM หรือ SEO ดี ต้องเลือกยังไงให้เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด
- พิจารณาการแข่งขันในวงการธุรกิจของคุณ
รู้เขา รู้เรา ยังคงเป็นแนวคิดที่จำเป็นอยู่เสมอไม่ว่ายุคสมัยไหน ก่อนจะไม่แข่งกับใครก็ต้องรู้ว่าตัวตนของคู่แข่งเราบนกูเกิลนั้นเป็นอย่างไร เค้าซื้อ Ads ไหม แล้วเขียน Ads ยังไงอยู่ตำแหน่งไหน หรือติดหน้าหนึ่งเยอะไหม ติดด้วยคำว่าอะไรบ้าง เพื่อหาช่องวางที่เราพอจะแทรกเข้าไปแข่งด้วยได้
ยิ่งถ้าเราเริ่มทำ SEM หรือ SEO หลังคู่แข่งเรา แน่นอนว่าเราต้องล้าหลังอยู่ การจะไปแข่งอันดับได้ทันทีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องรู้จักประเมินว่าช่องทางไหนที่เราจะสามารถเข้าไปมีพื้นที่ได้ก่อน
- พิจารณาว่าธุรกิจของคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายลึกซึ้งแค่ไหน
ถ้าคุณฐานแน่น มีความรู้ความเข้าใจในตลาดและกลุ่มลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ก็อาจจะถึงเวลาที่ต้องลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวกับ SEO จะดีกว่า แต่ถ้าเกิดว่ายังไม่ค่อยแน่ใจในตลาดของตัวเอง การทำ SEM จะทำให้คุณสามารถทดลองทำโฆษณาไปเรื่อยๆ เพื่อดูการตอบรับจากลูกค้า และศึกษากลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้ถ่องแท้มากขึ้นได้
- พิจารณาความสั้นยาวของวงจรการซื้อของคุณ
วงจรการซื้อขายของสินค้าของคุณสั้นหรือยาว ระยะเวลาที่ลูกค้าพิจารณาซื้อของนั้นมากหรือน้อย ถ้าหากว่าวงจรสั้น ก็ซื้อพื้นที่ Ads เพื่อให้สินค้าและบริการของคุณปรากฏให้ลูกค้าเห็นได้อย่างฉับไว อาจจะเป็นตัวเลือกที่ควรให้นำ้หนักมากกว่า ถ้าหากว่าวงจรในการซื้อใช้เวลาพิจารณายาวนาน จะปรากฏตัวอยู่แต่ใน Organic ก็ไม่เป็นไรอย่างนี้เป็นต้น
- พิจารณาอายุของธุรกิจของคุณและสถานะของเว็บไซต์ของคุณในขณะนั้น
ถ้าหากว่าเว็บไซต์และธุรกิจของคุณนั้นใหม่มาก การทำ SEO นั้นอาจจะต้องใช้เวลามากทีเดียว ดังนั้นหากธุรกิจยังใหม่ควรเทน้ำหนักไปทาง SEM เพื่อให้เป็นที่รู้จักและมีรายได้ก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาเทน้ำหนักที่ SEO เมื่อเว็บไซต์เริ่มมี Traffic และ Conversion ที่อยู่ตัว
แล้วคุณควรเลือกอะไร อย่างที่กล่าวไปว่า SEO คือส่วนหนึ่งในกระบวนการการทำ SEM ดังนั้นเฉกเช่นเดียวกับการทำการตลาดทุกประเภทนั่นคือคุณไม่ควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งให้เป็นหนทางแบบเบ็ดเสร็จเพราะคุณจะสูญเสียผลประโยชน์ที่อาจกลายเป็นของคุณไปอย่างน่าเสียดาย ในกรณีนี้คือ SEO กับ PPC ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของกระบวนการและผลลัพธ์บางอย่าง ทำให้เราไม่ควรที่จะตัดสินว่าทำ SEO หรือ PPC อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะดีกว่าอีกอย่าง
สิ่งที่ควรเป็นก็คือ “ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป” เหตุผลที่ควรทำไปพร้อมๆ กันก็เพราะว่าการทำ SEO นั้นจะต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะเริ่มเห็นผล (อย่างต่ำก็ 6 เดือน) ซึ่งแน่นอนว่าระหว่าง 6 เดือนนั้นคุณคงไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น PPC จึงเป็นทางออกที่จะช่วยให้โฆษณาค้นหาของคุณมีประสิทธิภาพและกระจายสู่ลูกค้าเป้าหมายได้ทั้งง่าย สะดวกและระยะเวลาสั้นกว่า ในทางเดียวกันหากคุณเข้าใจเรื่อง SEO กับ PPC และทำไปพร้อมๆ กัน เมื่อเว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีจากการทำ SEO จะส่งผลให้ Quality Score ของคำทีประมูลในแคมเปญ PPC ดียิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
อยากเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ต้องทำอย่างไร
สำหรับ SEO นั้นเมื่อคุณเข้าใจองค์ประกอบที่เราได้เขียนไปแล้วข้างต้นก็จะต้องเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการดำเนินการในขั้นถัดไป
โดยลำดับขั้นตอนในการทำ SEO มีดังต่อไปนี้
- ข้อมูลในทุกๆ หน้าบนเว็บไซต์จะต้องเกี่ยวข้องกับแต่ละ Keyword ที่ใช้อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน เป็นข้อมูลที่สร้างหรือดัดแปลงขึ้นมาด้วยตัวเอง (ไม่คัดลอกจากที่อื่นมาโดยเด็ดขาด)
- ทำบทความสำหรับส่งออกเป็น Off Page โดยใส่ลิงก์เพื่อให้ผู้อ่านคลิกกลับมาที่หน้าเว็บไซต์ที่เรากำหนดไว้ (เพียงบทความละ 1 ลิงก์ก็เพียงพอแล้ว)
*** เหตุผลที่บทความแบบ Off Page ต้องมีการลิงก์กลับมาที่หน้าเว็บไซต์เพราะระบบอย่าง Google จะให้คะแนนกับเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมโยงทั้งภายในเว็บไซต์ของตัวเองและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจากเว็บไซต์อื่นๆ หรือโซเชียลมีเดีย ยิ่งมีการลิงก์กลับมามากเท่าไร (แบบไม่เยอะเกินไปเพราะจะถูกตัดสินว่าเป็น Spam) จะยิ่งทำให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือขึ้น คะแนนคุณภาพของเว็บไซต์เราสูงขึ้นและช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
- ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย SEO ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้ UX&UI ง่ายต่อการใช้งาน เว็บไซต์ดาวน์โหลดรวดเร็ว ภาพสวยคมชัดแต่ขนาดต้องไม่ใหญ่จนเกินไปเพราะจะทำให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดช้า ข้อมูลครบถ้วน ลิงก์หน้าเว็บต่างๆ (Slug) ควรมีคำค้นหาหลักซ่อนอยู่ (เป็นการบอกกับระบบตรวจสอบทางอ้อมว่า หน้านั้นๆ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอะไร)
ส่วนการทำ PPC นั้นหากคุณต้องการให้โฆษณาของคุณแสดงในตำแหน่งสูงๆ (โฆษณาจะขึ้นแสดงที่หน้าแรกของ Google เป็นปกติอยู่แล้ว) คุณก็จะต้องใส่ราคาประมูล Max. CPC ของแต่ละ Keyword ให้สูงกว่าคู่แข่ง แต่ในระบบของ Google Ads นั้นจะมีค่า Quality Score ที่เป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างที่ใช้กำหนดว่าโฆษณาจะขึ้นไปปรากฎที่ตำแหน่งใดโดยจะคำนวณจากคุณภาพของโฆษณานั้นๆ
.
อยากทำการตลาดง่ายๆ ให้เว็ปไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหา Aday Marketing สามารถช่วยคุณได้
จุดเริ่มต้นก้าวสำคัญของคุณ…ให้เราดูแลที่ Aday Markerting
.
https://www.www.adaymarketing.com/
#Adaymarketing #DigitalMarketingAgency